จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

“ปาฏิหาริย์ชายผ้าถุงแม่” ของขลังมหามงคล เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องปลุกเสกใดๆ

“ปาฏิหาริย์ชายผ้าถุงแม่” ของขลังมหามงคล เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องปลุกเสกใดๆ


ย้อนกลับไปในสมัยก่อนเวลาที่จะออกไปรบ ชายสมัยโบราณมักจะมีความเชื่อที่ว่า หากขอเศษผ้าถุงแม่ หรือขอชานหมากจากพ่อ สองสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยคุ้มครองภัยและเป็นเครื่องรางชั้นดี เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของความรักอันบริสุทธิ์ที่พ่อแม่มอบให้ เพื่อให้ลูกนั้นสามารถนึกถึงคุณงามความดี ความกตัญญู
สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่ต้องไปปลุกเสกในๆ รู้สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างทานปฏิหารได้มาเสมอ หนังเรื่องของพระครูศิริพงษ คุรุพันธกิจ ได้เล่าไว้เมื่อปี 2553 ว่า
เราพร่ำสอนลูกทุกคนเสมอให้กระทำกตเวทิตาแก่พระในบ้านให้มากๆ เราเตือนลูกทุกคนให้หยุดแสวงหาพระดีอาจารย์ขลังนอกบ้านเพราะพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สูงที่สุดมีพรอันเป็นมงคลที่ประสาทครั้งใด ก็นำความสำเร็จสมปรารถนาอย่างมั่นคงให้ลูกทุกคนโดยมิได้หวังลาภสักการะ สินจ้าง รางวัล จากผู้บูชาคือลูกเลย ใจของพ่อใจของแม่มีแต่ตั้งความหวังให้ลูกมีความสุขความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
ซึ่งท่านก็ได้เอาตัวอย่างของผู้ที่บูชาพ่อแม่แล้วประสบความเจริญรุ่งเรือง แม้จะมาจากต่างแดนห่างไกลแต่ก็มีคนคอยต้อนรับอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ พบสังคมที่ดี และได้รับความช่วยเหลือเสมอ
โดยเเป็นเรื่องราวของหนุ่มคนหนึ่งที่เรียนจบชั้นปริญญาตรีเอกบรรณรักษ์ เป็นเด็กที่มีอัธยาศัยดีเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน ทั้งครอบครั้วนั้นก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจนสามารถเลื่อนขั้นเป็นหน้าห้องของปลัดกระทรวง
อีกทั้งยังมีนิสัยขยัน วันหยุดก็จะไปเปิดท้ายรถขายของ ทำงานไม่เคยหยุดหารายได้ตลอด และด้วยความชอบค้าขายและบวกกับมีคนมาติดต่อให้ไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศ หนุ่มรายนี้ตัดสินใจลาออกจากราชการทันที
ซึ่งก่อนออกเดินทางเขาได้เข้าไปหาแม่ ให้แม่ช่วยอวยพร ให้ประสบพบแต่ความสำเร็จ และขอเอาชายผ้าถุงแม่ไปเป็นวัตถุมงคลที่ระลึก จากนั้นเขาก็สามารถทำหน้าที่ เป็นผู้จัดการร้านอาหารได้ปีเศษ และมีคนเสนอขายกิจการให้กับเขา เขาเลยตกลงซื้อและวางแผนจัดการร้านของตัวเองทุกอย่าง และอบรมกิริยามารยาทพนักงานต้อนรับในร้านด้วยตนเอง
เขาประสบความสำเร็จเพียงเวลา 3 ปี เท่านั้น อีกทั้งยังส่งเงินมาให้แม่อีกด้วย และปลูกบ้านให้แม่หลังงามที่เมืองไทยพร้อมยังสร้างบ้านที่อเมริกาอีกด้วย
ปัจจุบันภรรยาที่เมืองไทยเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเขามีภรรยาใหม่ที่ต่างแดน อาชีพภรรยาก็มั่นคง เขาได้รับสิทธิ์เป็นคนอเมริกันอย่างง่ายดาย ไม่ต้องจ้างใครรับรอง ไม่ต้องอยู่อย่างหลบเลี่ยง จะคิดทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ แม่ที่อยู่เมืองไทยก็มีความสุขจากการส่งเสียดูแลเป็นอย่างดีจากเขา
และชายคนนี้ทุกครั้งที่ทำอะไรเขาต้องการกุศลอันใดก็จะนึกพ่อแม่ก่อนเสมอ และดูแลท่าน ให้เงินท่านทุกเดือนไม่ขาด แม่ผู้รับเงินแทนคุณจากลูกทำบุญตักบาตรสร้างกองการกุศลให้ลูกในทุกๆ วัน อธิษฐานให้ลูกนั้นเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จเป็นที่เมตตารักใคร่ของคนทั่วไปปราศจากอุปสรรคภยันตรายใดๆ ทั้งปวง
ฟังเรื่องราวจากปากหนุ่มนายนี้ต่างโจษจันยกย่องสรรเสริญหนุ่มผู้กตัญญูบูชาพระที่ถูกองค์คนนี้กันทั่วกรมศิลปากร อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่า “ตั้งดีพลีถูกองค์” จึงประสบความสำเร็จ
ที่เรายกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า เทพเจ้าแห่งความสำเร็จของทุกคนอยู่ในบ้านเป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวธรรมดานี่เอง อยู่ในบ้านของเราไม่ใช่เทวดาที่ไหน ฉะนั้นลูกทั้งหลายที่ยังมีพ่อแม่ก็ควรดูแลตอบแทนท่านให้ดีให้ท่านสุขกายสบายใจด้วยการกระทำของตนแล้วสิ่งที่นึกไม่ถึงว่าจะสำเร็จอย่างง่ายดายจะบังเกิดขึ้นกับตนเอง

ขอขอบคุณ[บทความดีๆจาก https://www.reportdays.com

อยากให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง หยุดด่าสามี เพราะผู้ชายมีศีลสูงกว่าผู้หญิงสองร้อยเท่า

อยากให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง หยุดด่าสามี เพราะผู้ชายมีศีลสูงกว่าผู้หญิงสองร้อยเท่า

อยากให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง หยุดด่าสามี เพราะผู้ชายมีศีลสูงกว่าผู้หญิง 200 เท่า กำลังเป็นเรื่องที่ผู้คน ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อล่าสุดได้มีผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านหนึ่ง ได้มีการโพสต์คลิปวีดีโอ การเทศนาของแม่ชี ทศพร ถึงเรื่อง ภรรยาที่ชอบด่าสามี ให้กับพุทธศาสนิกชนได้ฟัง จนผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อได้ฟังเทศน์ของแม่ชีทศพร
โดยระบุว่า ภรรยา ที่ด่า สามี จะไม่มีวันเจริญ ทำมาหากินไม่ขึ้นเพราะ ผู้ชาย มีศีล สูงกว่า ผู้หญิง 200 เท่า สาธุ แม่ชี ชี้ทางออกของชีวิต ผู้หญิงควรได้เห็นคลิปนี้และเอาไปปฎิบัติตามกัน (แท็กภรรยา)
เป็นสามีที่ดีต้องให้ 4 อย่าง ภรรยาที่ดี ต้องเก็บ 4 อย่าง
ให้ เรื่องการเงินแก่ครอบครัว ตามความสามารถของตัวเอง ( ให้ภรรยาควบคุมด้านการเงิน ของครอบครัวทั้งหมด ) และเราขอเงินไปทำงานวันละ 20 บาทไง ( แบบสามีที่ดี เขาทำกัน )
ให้ เรื่องเวลา แก่ครอบครัว เมื่อครอบครัวต้องการตัวสามี ไม่ต้อง อธิบายนะ ก็เวลาเขาเรียกใช้เมื่อไร ก็รีบ ๆ มาให้เขาใช้เป็นพอ ไม่ว่า อบ ซัก รีดเสื้อผ้า เก็บกวาดความสะอาดบ้าน ทำอาหาร และ สำคัญช่วยเลี้ยงลูกด้วยจ้า
ให้ เรื่องการยอมรับในสังคมแก่ครอบครัว แสดงว่าเวลาจะไปไหน ต้องมีภรรยา เป็นตุ๊กตาหน้ารถเสมอ ห้ามหนีไปไหน ๆ คนเดียวเด็ดขาด
ให้ เรื่องไว้วางใจ การเปิดเผยในการสอบถาม หาข่าว หาความของภรรยา ( ข้อนี้เพื่อให้เขาไม่มีความระแวง ) และยอมรับการตามล่า ของภรรยาได้ ทุกเมื่อเชื่อวัน แบบ ไปตีกอล์ฟ มาจ้า
หญิงมีหน้าที่ต้องเก็บได้ 4 อย่าง
ต้องเก็บเงินได้ ถ้าสามี ให้ เงินมา แล้วเก็บให้เป็น บริหารการเงินให้เป็น ในจังหวะชีวิต ช่วงใดช่วงหนึ่งเกิดตกงาน หรือ ไม่มีอาชีพ เราก็สามารถที่จะนำเงินที่เก็บสะสมไว้ หรือมีการจัดการบริหารการเงินที่ดีไว้ เพื่อนำมาเป็นทุนในการหางาน หรืออาชีพใหม่ หากพบจังหวะทางออกที่ดี อาจนำมาลงทุนเป็นเจ้าของกิจการตัวเองได้
ต้องเก็บคำพูดได้ ถ้าสามี หรือคนในครอบครัวทำอะไร หรือมีอะไร ทะเลาะกัน หรือมีปัญหาเรื่องอะไร ชาวบ้านหรือคนที่รู้จัก จะรู้หมดทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เที่ยวหาพรรค หาพวก ประจานสามี หรือ ครอบครัวของสามีไป เวลาดีกัน หรือ เหตุการณ์ปกติขึ้นมา ตัวเองไม่ทราบ เอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหนดี ทำให้ โอกาสในการที่จะทำการอาชีพ ไม่ประสพความสำเร็จ เพราะปากคำจากภรรยานั่นเอง
ต้องเก็บตัวเองได้ มีสามีแล้วยังทำเป็นคนเปิด ใครชวนไปไหนไปหมด ชายใดหรือคนไหนมาพูดมาจีบ ก็ยิ้ม เสนอหน้ารับ และ ประเภทเหงาปาก เหงาใจ เที่ยวโทรคุยชาวบ้านทุกวันดึกดื่น สามีไม่เป็นอันทำมาหากิน เพราะมัวแต่ระแวง ไม่ก็ต่างคนต่างมีใหม่ ให้มันรู้แล้วรู้รอด สร้างความกดดันแก่ครอบครัว และลูกหลาน
ต้องเก็บสามีให้ได้ มีสามีแล้ว เวลามีปัญหากัน ก็ยึดจุดเดินมาเป็นจุดยืน จุดยืนที่ว่ารักกันมานะ ลืมหมด เอาศักดิ์ศรี หน้ามืด คิดแต่เอาชนะ ไม่สนใจอนาคต คิดแต่จะไล่ไป แบบเก็บเสื้อผ้าสามี โยน และไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นสะใจ แบบนี้เขาเรียกไล่สามีครับ ไม่ใช่เก็บสามี
ไม่ว่าไรเขาเป็นสามีเรา เราต้องมีหน้าที่ เก็บเขาไว้อยู่กับเราให้ได้ เพราะเราเลือกเขาเป็นสามีนี่ ต่อให้ผิดยังไง ก็ต้องไปเอากลับมาเก็บไว้ เป็นสามีเหมือนเดิม นะแหละ
คิดให้เป็น และเข้าใจว่าจะ อภัย เก็บเขาให้เขาอยู่ และเป็นสามีของเรายังไง ไม่ใช่ ไล่ๆๆๆ แบบนั้นไม่ใช่เก็บสามี พอสามีไป คุณก็ถูก คนมองว่าไม่มีฝีมือ สามีคนเดียวเก็บไว้ไม่ได้ สู้ไม่ได้แม้แต่ นักร้อง หรือ เด็กเสริฟ รีเชพชั่น ที่ มากผัวหลายสามี น่าอับอาย
ขอขอบคุณที่มาจาก http://wwwbannanewscom/

โรคดึงผม ชอบถอนผมตัวเอง อาการแบบนี้เข้าข่ายโรคจิตเวชหรือไม่

โรคดึงผม ชอบถอนผมตัวเอง อาการแบบนี้เข้าข่ายโรคจิตเวชหรือไม่


โรคดึงผม ชอบถอนผมตัวเอง อาการแบบนี้เข้าข่ายโรคจิตเวชหรือไม่ ใครมีอาการแบบนี้ยกมือขึ้น !
คุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการแปลก ๆ ชอบดึงทึ้งผมของตัวเองหรือเปล่าคะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ไม่อาจบังคับใจตัวเองได้ หากคุณมีอาการนี้ก็ไม่ต้องตื่นตกใจไปว่าคุณเป็นพวกโรคจิต วันนี้เราจะมาเผยเรื่องราวของโรคและการรักษาที่ถูกต้องให้ได้ฟังกันค่ะ


โรคดึงผม คืออะไร อาการเป็นอย่างไร

สำหรับโรคนี้เรียกว่า โรคถอนผมตัวเอง (Trichotillomania) หรือ โรคดึงผม เป็นภาวะผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง และเป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ย้ำคิดย้ำทำ อาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ แต่มักพบผู้ป่วยมีอาการร่วมกันทั้ง 2 แบบ          - อาการดึงผมที่รู้ตัว : อาจเกิดได้จากความรู้สึกคันศีรษะยุบยิบ หรืออาจรู้สึกว่าเส้นผมไม่ตรง ไม่เรียบ เลยอยากดึงออกให้สบายใจขึ้น หรือบางคนก็มีอารมณ์กังวลและเครียดมาก่อน แต่พอได้ดึงผมแล้วก็จะรู้สึกผ่อนคลายหรือฟิน          - อาการดึงผมที่ไม่รู้ตัว : มักพบการถอนผมโดยที่ไม่รู้ตัวขณะกำลังทำกิจกรรมบางอย่างเพลิน ๆ เช่น นั่งอ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ บางคนเป็นมากถึงขนาดถอนจนผมร่วงเกือบหมดหัว หรือหายเป็นหย่อม ๆ จนมีลักษณะผมที่แหว่งไปเลยก็มี

โรคนี้พบได้ประมาณ 1-2% ในประชากรทั่วไป โดยส่วนใหญ่จะพบในวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ส่วนบริเวณที่พบการดึงและถอนขนได้บ่อยก็คือ เส้นผม หรือขนตามตัว (ขนตา, ขนจมูก, ขนหน้าอก, ขนเพชร, คิ้ว)

โรคดึงผม เกิดจากสาเหตุอะไร

พฤติกรรมดึงผม ถอนผมตนเอง ปัจจุบันยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่เบื้องต้นสันนิษฐานสาเหตุได้ดังนี้

1. จากพยาธิสภาพของโรคเอง คือ มีความผิดปกติในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงออกของพฤติกรรม หรือมีระดับของสารเคมีบางตัวในร่างกายผิดปกติ จึงมีโอกาสที่จะมีปัญหาในด้านการกระทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งบางรายอาจออกมาเป็นการทำร้ายตนเองอย่างรุนแรงซ้ำ ๆ เช่น โขกศีรษะ หรือถอนผมตนเอง เป็นต้น

2. จากพยาธิสภาพทางจิตใจ เกิดความเครียด เช่น ปัญหาการเรียน การทำงาน มีปัญหาความสัมพันธ์กับครอบครัว กลัวการทอดทิ้ง มีปัญหาทางด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น

3. จากปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางด้านสังคม การดำรงชีวิตอยู่ในสังคม อาจเกิดจากความคับข้องใจหากมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว หรือที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน เช่น มีการรับประทานอาหารที่ซ้ำซาก หรือการจำเส้นทางเดินทาง หรือการจัดสิ่งของให้อยู่อย่างเดิม ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมปกติที่เคยอยู่ จะทำให้มีความคับข้องใจ ซึ่งอาจแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการทำร้ายตนเองได้

4. จากภาวะโรคจิตเวชบางอย่าง เช่น มีพฤติกรรมวิตกกังวลประเภทย้ำคิดย้ำทำ หรือการเป็นโรคซึมเศร้า

5. พันธุกรรม เช่น อาจมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคดึงผมเหมือนกัน



วิธีรักษาโรคดึงผมตัวเอง

หากมีอาการมาก โรคนี้ก็จะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ดึงผมมาก ๆ จนผมแหว่งไปบางส่วน หรือหัวล้าน ทำให้ไม่มั่นใจ จะออกไปข้างนอกก็ต้องใส่วิก ใส่หมวกปกปิด นาน ๆ เข้าอาจเกิดความเครียดหรือเป็นโรคซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ผู้ป่วยโรคนี้จึงควรเข้ารับการรักษา ซึ่งเป็นการรักษาร่วมกันระหว่างจิตแพทย์และแพทย์ผิวหนัง โดย

1. รักษาอาการผมร่วงกับแพทย์ผิวหนัง

2. ใช้แชมพูและสระผมตามสภาพผม

3. หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำร่วมกันในครอบครัว

4. ป้องกันการถอนผมตนเอง เช่น การนำวัสดุที่หาได้ในบ้าน เช่น หมวกคลุมผมเวลาอาบน้ำ ผ้าคลุมผม หมวก ฯลฯ มาคลุมที่ศีรษะ เพื่อป้องกันการดึงผมตนเอง ในระยะแรก ๆ อาจจะรำคาญและจะดึงออกตลอดเวลา แต่เมื่อเอามือจับศีรษะแล้วไม่พบเส้นผม ไม่สามารถถอนผมตนเองได้ ในระยะต่อมาก็อาจช่วยลดพฤติกรรมถอนผมลงไปในที่สุด

5. หากไม่สามารถหยุดถอนผมตัวเองได้ ให้ทำบันทึกตารางที่ถอนผม เมื่อทำได้ดีขึ้นจะได้มีกำลังใจ

6. ในกรณีที่เป็นเรื้อรังควรปรึกษาจิตแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือ ควรรักษาร่วมกับพฤติกรรมบำบัดจะได้ผลดีที่สุด และคนใกล้ตัวก็มีส่วนช่วยรักษาได้ เช่น  ไม่ควรดุหรือตำหนิผู้ป่วยแรง ๆ เพราะจะยิ่งทำให้เครียดจนดึงผมมากยิ่งขึ้น จึงต้องค่อย ๆ ช่วยกันปรับพฤติกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมด้วยว่า ผู้ป่วยมักจะดึงผมในช่วงเวลาไหน มีอารมณ์อย่างไร สถานการณ์เป็นอย่างไร เช่น ชอบดึงผมขณะนั่งดูทีวี ขณะอ่านหนังสือ อยู่ในอารมณ์เครียด ฯลฯ เพื่อให้ผู้ป่วยทราบจะได้ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ง่ายขึ้น




***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 เมษายน 2561


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

- เฟซบุ๊ก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

- toptenthailand.com

- เฟซบุ๊ก "RH Club" คลับของคนรักสุขภาพและความงาม

และ https://health.kapook.com/view51408.html

นักวิจัยชี้ “คนชอบทำห้องรก” สมองพัฒนา กว่าห้องที่เป็นระเบียบ

นักวิจัยชี้ “คนชอบทำห้องรก” สมองพัฒนา กว่าห้องที่เป็นระเบียบ

               เชื่อว่าหลายต่อหลายคนเป็นกันอย่างมากคือ พอถึงห้องนอนปั๊ปวางของทันที จนเกิดการสะสม ทำให้ห้องรก ระกเกะระกะ ขาดความเป็นระเบียบ โดยหลายคนอาจจะมองคนจำพวกนี้ว่า เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนไม่เอาไหนหลังจากที่เห็นห้องเละเทะแบบนี้
แต่วันนี้ เราได้นำบทความหนึ่งจากเว็บไซต์ TIME ซึ่งได้ออกมาเผยแพร่ผลวิจัย ว่าคนที่มีนิสัยชอบทำห้องรกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ฉลาด ความจำดี
ซึ่งทางด้าน Robert Thatcher ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีในสมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ถึงกับประกาศออกมาว่ายิ่งเราปล่อยของวางเกะกะมากเท่าไหร่ เราก็จะฉลาดมากขึ้นเท่านั้น
เขาให้เราลองคิดง่าย ๆ ว่ามนุษย์ที่นึกอยากจะวางอะไรก็วาง เก็บข้าวของไม่เป็นที่ วางอะไรไว้ตรงไหนก็ไม่เคยจำ จะเป็นมนุษย์ที่สมองมีการคิดอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่า คนที่นึกอยากจะวางอะไรก็วาง เก็บข้าวของไม่เป็นที่ วางอะไรไว้ตรงไหนก็ไม่เคยจำ จะเป็นคนที่สมองมีการคิดอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นนิสัยโดยอัตโนมัติว่าต้องคิดหลาย ๆ เรื่องซับซ้อนไปพร้อม ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ตื่นเช้ามาหาแว่นตาที่วางไว้ไม่เจอ ก็จะทำให้เกิดความคิดซับซ้อนกว่าปกตินั่นคือ เราจะต้องคิดย้อนหลังกลับไปว่าก่อนที่เราจะถอดแว่น เราทำอะไรอยู่เป็นขั้นเป็นตอน ทำให้สมองได้คิดซับซ้อนขึ้นกว่าการที่เรานั้นวางเป็นที่ เพราะ เราแทบไม่คิดอะไรเลย เพราะ รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนนั่นเอง
ทั้งนี้ งานวิจัยได้สรุปเพิ่มเติมว่า นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก คือคนที่สามารถตั้งรับกับอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับห้องที่รกนี้ จะฝึกให้เราเจอกับความยุ่งยากตลอดเวลา เดี๋ยวแว่นหาย เดี๋ยวหนังสือหาไม่เจอ จนเมื่อเราไปเจอความยุ่งยากอื่น ๆ ในชีวิต เราจะตั้งสติรับกับมันได้เร็วกว่าคนอื่นนั่นเอง


ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.khaosocial.net/

ถ้าเก่งมาก ก็ต้องยิ่งแกล้งโง่เป็น อ่านไว้เตือนใจ อย่าให้ชีวิตต้องพังเพราะหลงทนงตัว

ถ้าเก่งมาก ก็ต้องยิ่งแกล้งโง่เป็น อ่านไว้เตือนใจ อย่าให้ชีวิตต้องพังเพราะหลงทนงตัว




ถ้าเก่งมาก ก็ต้องยิ่งแกล้งโง่เป็น อ่านไว้เตือนใจ อย่าให้ชีวิตต้องพังเพราะหลงทนงตัว
มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่นหมากล้อมเก่งมาก


ไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้

วันหนึ่ง.. แม่ทัพออกรบผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..

“เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ”

แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย

ปรากฎว่า.. เจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน

แม่ทัพหัวเราะ “555 แกเอาป้ายลงได้แล้ว”

แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ




ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะกลับมา

ผ่านมาที่เดิม ก็ยังเห็นป้าย แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม

แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน และท้าดวลอีก ปรากฎว่าครั้งนี้

แม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน แม่ทัพประหลาดใจมาก

ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร

เจ้าของบ้านตอบว่า

“ครั้งก่อน ท่านมีภารกิจออกรบ

ข้าน้อยจะไม่ทำท่านเสียกำลังใจ ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้

แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”
 
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ

มีใจกว้างขวาง ก็พอ

การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน

“รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดใช่ว่า จะไม่รู้”

ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง

ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่…..

เพจ: ธรรมะผ่อนคลาย


ขอบคุณ ที่มา: tummathailand.com และ http://www.siamnews.online/2018/11/blog-post_3.html